Blogger Template by Blogcrowds.


            ตอนที่ ๑

          บ้านอครศิราเมื่อสามชั่วโมงก่อนเธอแผดเสียงร้องไห้จ้าให้กับการจากไปของคุณพ่อคุณแม่ด้วยอุบัติเหตุขณะเดินทางไปสัมมนาที่ต่างประเทศ เธอวิ่งออกมาหน้าบ้านโดยหวังว่าท่านทั้งสองจะรีบกลับมาหา แต่ตอนนี้เสียงนั้นได้หยุดแล้ว เธอเพิ่งเข้าใจเองว่าร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตาอีกมันเป็นอย่างไร ท่านทั้งสองได้จากไปโดยไม่ไว้แม้แต่ร่างกายให้ได้เห็น

          “คุณรินเข้าบ้านเถอะนะคะ กลางวันแดดร้อนออกอย่างนี้ เดี๋ยวจะไม่สบาย” เสียงของป้าแจ่ม แม่นมของมิรินกล่าวเตือนเจ้านายน้อย ที่ยืนนิ่งอยู่อย่างนี้เป็นเวลาเกือบสามชั่วโมงแล้ว

          เธอคือมิริน สาวน้อยวัยสิบสามปี ผมสีดำมันขลับปรกหน้าที่ก้มนิ่งราวกับม่านแพร เธอเป็นสาวน้อยเจ้าของใบหน้าสวยน่ารัก เป็นลูกสาวของคุณอาทิตย์และคุณมยุราผู้ล่วงลับ พ่อและแม่ของมิรินเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อันโด่งดัง แต่ ณ ตอนนี้ทั้งสองท่านได้กลายเป็นตำนานไปเสียแล้ว โดยเหลือไว้เพียงส่วนแบ่งมรดกมูลค่าหลายสิบล้านบาทไว้ให้แก้วตาดวงใจคนเดียวของครอบครัว ความอบอุ่นของอ้อมแขนที่เคยกอดมิริน จะไม่มีอีกแล้ว เธอยืนท้อแท้เสียใจรออยู่ตรงนั้นนานเหลือเกิน เหมือนเพื่อแน่ใจว่าพ่อแม่จะไม่กลับมาหาอีกแล้ว เธอตัดสินใจหันหลังกลับในที่สุด

          “หนูมิรินหรือเปล่าจ๊ะ” เสียงชายวัยกลางคนดังขึ้นลอดรั้วบ้านจากด้านหลังของเธอ เมื่อเธอหันหลังกำลังจะเดินเข้าบ้าน

          “ใช่ค่ะ หนูเอง คุณลุงมีอะไรหรือเปล่าคะ” มิรินมองชายตรงหน้าด้วยสีหน้าปั้นยิ้ม โดยเห็นแก่ความสุภาพอ่อนโยนที่เขาหยิบยื่นให้  “หรือ..คุณลุงมีธุระกับคุณพ่อคุณแม่” ปลายเสียงสะอื้นไห้เล็กน้อยเมื่อพูดถึงผู้มีพระคุณทั้งสอง

          “มิรินจำลุงได้ไหม ลุงชื่อสมศักดิ์ เป็นเพื่อนสนิทของคุณพ่อหนูไง”

          เขาคือคุณลุงสมศักดิ์นี่เอง เธอจำคุณลุงท่านนี้ได้ ท่านมักจะมาคุยธุรกิจกับคุณพ่ออยู่เสมอ มิรินออกเสียงสั่งคนรับใช้ให้เปิดประตูเชิญลุงสมศักดิ์เดินเข้าบ้านมาพร้อมกัน

          “คุณลุงมาที่นี่มีอะไรหรือเปล่าคะ” บทสนทนาดังขึ้นระหว่างที่มิรินเดินเข้าห้องรับประทานอาหาร เพื่อเตรียมน้ำดื่มต้อนรับแขกด้วยตัวเอง มิรินเป็นเด็กแบบนี้เอง ถึงแม้จะมีบริวารรอให้เรียกใช้เต็มบ้านแต่เธอก็อยากทำในสิ่งที่เธอทำได้ด้วยตัวเองตลอด “หนูเชิญคุณลุงนั่งในห้องนี้ก่อนนะคะ เผื่อคุณลุงไม่ทราบคุณพ่อกับคุณแม่เสียชีวิตแล้วค่ะ รินทราบข่าวเมื่อหลายชั่วโมงก่อน สายการบินโทรมาบอกค่ะ” เสียงที่ออกมาเศร้าจนบาดใจคนฟังทีเดียว

          “ลุงรู้เรื่องแล้วละหนูริน ลุงถึงมาหาหนูเพราะเหตุผลนี้”

          “คุณลุงมาหารินหรอคะ” มิรินสงสัยขึ้นมาทันที เพราะเธออายุแค่สิบสามปีเท่านั้น ส่วนมากคุณลุงสมศักดิ์ก็จะมาบ้านนี้ด้วยเหตุผลทางธุรกิจเสมอ มิรินไม่เคยได้คุยกับคุณลุงท่านนี้อย่างจริงจังเลยสักทีเดียว

          “ลุงมาเพราะการตายของอาทิตย์เพื่อนลุง ทันทีที่ลุงทราบข่าวอาทิตย์ ลุงเสียใจมาก และการตายของอาทิตย์จะเป็นปัญหาใหญ่แน่นอน” สมศักดิ์เริ่มเปิดประเด็นเข้าเรื่องทันที เขาคงติดมาจากนิสัยนักธุรกิจใจร้อนสินะ

          “ปัญหาหรือคะ รินเดาว่าปัญหาของการตายของคุณพ่อคุณแม่คือรินใช่ไหมคะ” มิรินพูดด้วยน้ำเสียงคงความเศร้า

          “ลุงคิดว่าเรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาเลย ลุงรู้จักรินดี รินเป็นเด็กน่ารักเข้มแข็งในสายตาลุง” สมศักดิ์ออกปากชมมิรินอย่างที่เขาเห็นมิรินเป็น “ถึงแม้วันนี้รินจะเสียใจถึงขั้นอย่างจะตายตามอาทิตย์และยุไป แต่ลุงรู้ดีว่ารินจะไม่ทำแบบนั้น”

          “งั้นคงเป็นบริษัทของคุณพ่อใช่ไหมคะ ที่เป็นปัญหาใหญ่ตอนนี้” มิรินเดาสุ่มตามที่เธอรู้จักลุงสมศักดิ์

          “ลุงเองก็ไม่อยากบอกหนูรินหรอก ในสายตาของลุงหนูยังเด็กมาก เด็กเกินกว่าที่จะเราคุยกันเรื่องธุรกิจ” สมศักดิ์เงียบไปหนึ่งอึดใจ และพูดออกมา “หนูมีสิทธิ์ในมรดกนิติบุคคลของอาทิตย์ทุกชิ้น ตามลุงเข้าใจ เพราะหนูเป็นลูกเพียงคนเดียวของคุณพ่อ ถูกไหม”

          “ถูกของคุณลุงค่ะ แต่รินเองไม่ได้คิดถึงงานที่บริษัทคุณพ่อหรือมรดกของคุณพ่อหรอกค่ะ รินคิดว่ารินเด็กเกินกว่าจะเข้าใจเรื่องธุรกิจ” มิรินตอบอย่างตรงไปตรงมา

          “ลุงเองเห็นด้วยในข้อนั้นเหมือนกัน ธุรกิจคือบ่อปลาฉลามสำหรับหนูรินเลยทีเดียว หุ้นส่วนเล็กๆของอาทิตย์จะแย่งกันเป็นใหญ่ ถึงแม้อาทิตย์ถือหุ้นมากที่สุดก็จริง เมื่อเขาตายผู้รับสิทธิ์นั้นต่อคือริน เด็กอายุไม่ถึงสิบห้าคนนึงเท่านั้น พวกเขาจะไม่เชื่อฟังหรือแม้แต่ไม่ฟังความเห็นของรินเสียด้วยซ้ำ ถึงรินจะได้เก้าอี้ประธานบอร์ดบริหารจริง แต่รินจะไม่ได้ทำหน้าที่ตรงนั้นเลยแม้แต่น้อย

          “ลุงขอให้รินขายหุ้นหรือปล่อยหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์เสีย” สมศักดิ์บอกอย่างตรงไปตรงมาตามแบบที่มิรินพูดกับเขา นิสัยตรงไปตรงมาของมิรินทำให้พูดคุยกันง่ายขึ้น

          “หมายความว่าอย่างไรคะ” มิรินตกใจกับคำขอของชายตรงหน้ามากทีเดียว “คุณลุงจะให้รินทิ้งทุกอย่างที่คุณพ่อสร้างไว้ข้างหลังหรอคะ รินคิดว่า….

          “เมื่อรินโตขึ้นรินจะทำหน้าที่เหมือนคุณพ่อได้ใช่ไหม” สมศักดิ์ขัดขึ้น “ลุงไม่เห็นด้วยกับหนูรินหรอก ถ้าลุงจำไม่ผิดหนูอายุสิบสามใช่ไหม หนูจะให้บริษัทถูกทำลายอย่างนี้สิบปีเพื่อรอหนูโตจริงๆหรอ”

          มิรินลืมความเศร้าชั่วขณะหลังจากได้ยินคำขอร้องจากคุณลุงที่เธอรู้จักดีตรงหน้า เธอสับสนขึ้นมาเสียแล้วจากเหตุผลที่เขายกขึ้นมาอธิบายว่าทำไมเธอควรขายหุ้นมูลค่ามหาศาลของคุณพ่อ คุณลุงสมศักดิ์มาคุยเรื่องมรดกของเธอทันทีหลังจากที่ทราบข่าวการตายของบุพการีทั้งสอง แต่เขาจะใช่คนที่หวังดีต่อเธอจริงๆหรอ

          “ลุงหวังดีกับหนูจริงๆ” สมศักดิ์เอ่ยขึ้นหลังจากบทสนทนาเงียบไปสักครู่ “และลุงไม่ได้ขอหนูอย่างเดียว ลุงขอให้หนูไปอยู่กับลุงที่บ้าน ลุงจะเลี้ยงหนูเอง หนูสามารถนำคนสนิทไปอยู่ที่บ้านลุงด้วยได้”

          “อะไรนะคะ” น้ำเสียงมิรินแสดงถึงความสับสนปนตกใจ “รินไม่

          “ในฐานะลูกสาว” สมศักดิ์เสริมอีกหนึ่งประโยค

          “อะไรนะคะ….รินอยากให้คุณลุงช่วยอธิบายเหตุผลทั้งหมดค่ะ” มิรินแสดงน้ำเสียงตกใจเจือคาดคั้นเล็กน้อย

          “ลุงขอตอบตามตรงเลยนะ ที่หนูต้องขายหุ้นบริษัทเพราะลุงไม่อยากเห็นหนูต้องล้มละลาย ลุงรู้จักหุ้นส่วนที่บริษัทของอาทิตย์เป็นอย่างดีถึงแม้จำไม่ได้ทำธุรกิจร่วมกันก็ตาม พวกนี้จ้องจะผลักอาทิตย์ลงจากบัลลังก์มานานแล้ว คุณพ่อของหนูรินเองรู้ดีข้อนี้

          “และที่หนูต้องไปอยู่กับลุงเพราะหนูยังเด็ก แน่นอนว่าต้องศึกษาเล่าเรียนและได้รับการอบรมเลี้ยงดู ที่บ้านของลุงมีพี่ชายให้หนูเล่นด้วยหนึ่งคนและคุณป้ารวิภาพร้อมจะเป็นคุณแม่ของหนู”

          “รินไม่พร้อมเลยค่ะ รินอยากจะอยู่ที่นี่ คนของคุณพ่อคุณแม่ก็คอยช่วยเหลือรินอยู่แล้ว รินสามารถอยู่ได้ค่ะ” น้ำเสียงมิรินแข็งขึ้นในตอนท้าย

          “ริน ลุงเป็นเพื่อนกับพ่อแม่ของหนูมานาน ลุงเอ็นดูหนูเหมือนลูกของลุงเองเลยทีเดียว ลุงเสียใจกับการตายของอาทิตย์มาก และลุงคงทนไม่ได้ที่เห็นลูกของเพื่อนหลักอยู่ในความดูแลของคนอื่น”

          “รินขอคิดก่อนได้ไหมคะ รินกลัวค่ะ”
         



         แม้ไม่แน่ใจในหลายสิ่งหลายอย่างแต่คำขอนั้นผ่านมาสิบห้าปีแล้ว ตอนนี้มิรินอายุสิบแปดปี ได้ย้ายมาอยู่บ้านของครอบครัวของสมศักดิ์ กนกกุญชรเป็นที่เรียบร้อย มิรินทำตามคำแนะนำของผู้อาวุโสกว่าทุกอย่าง มีคุณป้ารวิภาและคุณลุงสมศักดิ์เป็นผู้ปกครอง แถมตอนนี้เธอยังไม่ใช่เด็กสาวคนเดียวของบ้านอีกแล้ว เธอมีพี่ชายอายุสามสิบสองหน้าตาเคร่งขรึมหนึ่งคนชื่อ ธัตติ และมีเพื่อนสาวอายุเท่ากันไว้คุยคลายเหงาอีกด้วย ญาดาผู้เป็นลูกสาวของผู้ปกครองคนใหม่นั้นได้กลายมาเป็นเพื่อนของเธอ ทั้งสองสนิทกันด้วยเวลาอันรวดเร็วเพราะมิรินเป็นคนพูดน้อย จึงเป็นฝ่ายฟังเสียมากกว่า ญาดาจึงชอบใจนิสัยพูดน้อยและยินดีรับฟังทุดเรื่องของมิรินเอามาก ทั้งสองเป็นเพื่อนเล่นเป็นเพื่อนคุยกันมาเป็นเวลาห้าปีแล้ว ตัวติดกันไปไหนไปนั่นราวกับพี่น้องแท้ๆเลยทีเดียว

          ดูเหมือนวันนี้จะเป็นวันที่บรรยากาศเครียดวันหนึ่งเพราะทุกคนบนโต๊ะอาหารในบ้านกนกกุญชรวันนี้ต่างพากันเป็นใบ้สนิท ไม่มีใครเปิดบทสนาทาก่อนเลย จนถึงเวลาที่อาหารในจานหายไปพอจนเกือบหมดจานกันอยู่แล้ว แต่ในที่สุดเสียงแหลมสูงก็ดังแหวกขึ้นมา

          “พ่อคะ แม่คะ พี่ติด้วย ต่ายตัดสินใจแล้วนะคะ ว่าต่ายอยากเขาเรียนคณะนิเทศ และไม่ว่ายังไงพ่อแม่ รวมถึงพี่ติก็ห้ามต่ายไม่ได้” ญาดาพูดอย่างตัดสินใจแล้ว เธอและมิรินกำลังจะต้องเลือกคณะเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ที่บ้านถามเธอมาตั้งแต่ขึ้นมัธยมศึกษาปีที่หกแล้ว ว่าอยากจะเรียนอะไรและในอนาคตอยากทำอาชีพอะไร ญาดาไม่เคยตอบคำถามพวกนี้ได้เลย แต่ตอนนี้เธอเหมือนจะรู้ตัวเองแล้ว จริงๆเธอก็เพิ่งรู้ตัวมาไม่นานนี้เองว่าอยากทำงานด้านภาพยนตร์ จึงตัดสินใจเลือกเรียนนิเทศศาสตร์

          “ฉันไม่ห้ามแกหรอกย่ะ ยายคุณกระต่าย” คุณรวิภาพูดอย่างนึกขำ

          “พี่กับพ่อก็คงไม่ห้ามต่ายเหมือนกัน” เสียงทุ้มน่าฟังเสริม ธัตติเป็นลูกชายคนโตของบ้าน เขามีหน้าที่ดูแลน้องๆแทนพ่อแม่ ไม่ว่าจะเป็นน้องสาวจริงๆ หรือน้องสาวคนใหม่ก็ตาม

          “เอ้า ทำไมละคะ เห็นก่อนหน้านี้ไซโคต่ายให้เรียนบริหารธุรกิจกันนี่”

          “ก็เพราะหนูรินทราบผลทุนแล้วน่ะสิ”

          “ริน ทุนอะไรหรอริน ทำไมเรื่องนี้ต่ายไม่รู้เรื่องนี้” เสียงที่แหลมอยู่แล้วแหลมขึ้นไปอีกเมื่อพูดกับมิริน น้ำเสียงยังเจือความน้อยใจกับการเพื่อนรักไม่ยอมบอกข่าวเรื่องทุนที่แอบไปสอบมาตอนไหนก็ไม่รู้

          “คุณลุงคุณป้าก็เกินไปค่ะ ที่จริงรินเขียนเรียงความกับส่งประวัติและคะแนนสอบให้มหาวิทยาลัยรอการตอบรับเข้าศึกษาน่ะค่ะ”  มิรินแอบจิบน้ำเพราะเผลอแก้คำพูดเร็วเกินไป กลัวทุกคนจะเข้าใจผิด “รินได้ออฟเฟอร์จากมหาวิทยาลัยในนิวยอร์คน่ะต่าย เป็นคณะบริหาร จดหมายเพิ่งถึงบ้านเมื่อเช้า เลยยังไม่ทันเล่าให้ต่ายฟัง รินเองก็รู้ข่าวจากคุณลุงคุณป้านี่แหละ”

          “เห้อ ต่ายก็โล่งใจ นึกว่ารินรู้แล้วไม่ยอมบอกต่าย”

          “แม่เป็นคนเอาจดหมายมาอ่านเองแหละ” คุณรวิภาเสริมกับลูกสาวผู้จู้จี้ “แม่เองก็ตกใจนึกว่าจดหมายจากมหาลัยต่างประเทศที่ไหนส่งมา”

          “รินต้องขอโทษคุณป้าจริงๆค่ะ ที่รินไปสอบโดยไม่ได้บอก แต่รินคิดว่ารินจะเรียนมหาวิทยาลัยในไทยค่ะ เกรงใจคุณลุงคุณป้าที่ส่งเสีย”

          “ไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอกจ๊ะหนูริน อีกอย่างมรดกของคุณอาทิตย์ก็ไม่ใช่น้อยๆ หนูรินอยากเรียนที่ไหนพวกเราก็พร้อมจะจัดการให้ทุกอย่าง”

          “ขอบคุณมากค่ะ รินว่ารินเรียนที่ประเทศไทยนี่แหละค่ะ วันก่อนรินไปงานเปิดรั้วมหาลัยกับต่าย มหาวิทยาลัยในไทยหลายที่ก็มีคณะบริหารดังๆอยู่ค่ะ” มิรินตอบอย่างจริงใจ

          “รินไม่กล้าทิ้งต่ายหรอกค่ะ รินเขารู้ดีว่าต่ายสอบตามรินไปไม่ได้หรอก ต่ายไม่ได้ฉลาดเหมือนริน”

          “ไม่ใช่เสียหน่อย” มิรินพาลเขินอายไปกับคำเย้าของเพื่อน “เพราะมหาวิทยาลัยนั้นไม่มีสาขาภาพยนตร์อย่างที่ต่ายอยากเรียนต่างหาก รินถึงไม่ได้แนะนำกับต่าย”

          “ขอบใจจ่ะ เธออย่าน่ารักให้มากนักเลย” ญาดาหันจับแก้มเพื่อนสาวอย่างอดไม่ได้ “แค่นี้ทุกคนก็หลงเธอจะแย่แล้ว ฉันได้ตกกระป๋องไปอีกแน่ๆ เพื่อนผู้ชายก็ไม่มีมาจีบฉันสักคนเพราะไม่ผ่านด่านความน่ารักของเธอนี่แหละ ต้องหลงเธอก่อนเจอฉันทุกคน” ประโยคท้ายนี้ดูเหมือนจะจงใจพูดกับธัตติ

          ญาดาจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไรเธอเป็นเพื่อนกับมิรินและคุยกันทุกเรื่อง มิรินแอบหลงรักธัตติตั้งแต่เธออายุสิบห้าแล้ว ซึ่งมิรินก็บอกความรู้สึกของเธอให้ญาดาฟัง ความผูกพันของพวกเขาทั้งสองเกิดจากการที่มิรินได้กลายมาเป็นสมาชิกในครอบครัว อีกทั้งเพราะมิรินเป็นคนพูดน้อยเธอไม่ค่อยได้รู้จักใครกว้างขวางอย่างญาดา แรกเริ่มที่เข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ญาดาและธัตติผู้เป็นพี่ชายต้องเป็นผู้คืนความร่าเริงให้กับมิรินที่เจอโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่หลวงนั้น ความอ่อนโยนของธัตติที่มีต่อมิรินดูเหมือนได้ตราตรึงในหัวใจของหญิงสาวตั้งแต่นั้น แม้ว่าธัตติจะมีอายุห่างจากมิรินถึงสิบสี่ปี แต่ญาดาก็ไม่ได้ขัดขวางหรือห้ามความรู้สึกของมิรินทั้งยังทำตัวเป็นแม่สื่อในมิรินในหลายครั้งหลายคราวอีกด้วย

          “ต่าย!” มิรินปรามเพื่อนเสียงหลง

มิรินเองเป็นหญิงสาวที่เหนียมอาย เธอไม่เคยเผยความรู้สึกของตนเองที่มีต่อธัตติหรือ พี่ติ ให้ธัตติรู้ แต่เธอคิดว่าธัตติต้องรับรู้ความรู้สึกของเธอได้อย่างแน่นอน เพราะเธอแอบเผลอไผลมองเขาอย่างหลงใหลหลายครั้ง อีกอย่างเขาอายุมากกว่าเธอหลายปี เขาคงเดาความรู้สึกของเธอได้ไม่ยาก จากประสบการณ์ของชายหนุ่มหน้าตาดีที่มีหญิงสาวเขามาสารภาพรักไม่เว้นแต่ละเดือน

          “จริงหรอหนูริน” คุณรวิภาเกิดอาการสนใจทันที แต่ก็ไว้ใจในตัวมิริน เพราะตลอดเวลาที่เธออุ้มชูเลี้ยงดูหญิงสาว มิรินไม่เคยเสียหายเรื่องผู้ชายให้ปวดหัว

          “ไม่จริงค่ะคุณป้า” มิรินตอบช้าๆเหมือนจะเน้นในคำพูดของเธอ

          “ป้าโล่งใจนะจ๊ะที่ได้ยินอย่างนั้น ป้าเชื่อมั่นในตัวหนูริน ไม่เหมือนยายคุณกระต่ายนี่”

          “อะไรคะแม่ ก็ต่ายเพิ่งบอกไปอยู่นี่ไงว่าผู้ชายหลงมาจีบรินก่อนได้เจอต่ายกันทุกคน เพราะฉะนั้นต่ายโสดค่ะ แม่ก็ไว้ใจต่ายได้เหมือนกัน” เจ้าของเสียงกระดิ่งเงินรีบออกตัว

          “ผมอิ่มแล้วขอตัวก่อนนะครับ” ธัตติกล่าวสั้นๆกับทุกคนบนโต๊ะอาหารและลุกขึ้นปลีกตัวออกมา

          “พี่ติคะ อย่าเพิ่งนอนนะคะ ต่ายกับรินมีการบ้านวิชาภาษาอังกฤษอยากให้ช่วยสอน”

          “เอาเข้ามาในห้องนอนพี่ได้เลยครับ” ธัตติตอบตกลง มันเป็นกิจวัตรของพวกเขาสามคนไปแล้ว ที่เขาปฏิบัติอย่างนี้กับพวกเธอ มาตลอดหลายปีนี้ “เคาะประตูห้องด้วยนะ พี่จะอาบน้ำ”

          “ค่ะ พี่ติ” ญาดารับคำ